ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะรู้สึกตื่นเต้น และสนใจทุกครั้งที่ได้ยินว่าใครสักคนทำธุรกิจส่งออก และกำลังจะมาแชร์ความรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอน หรือโอกาสทั้งหลายที่มาจากต่างประเทศ หรืออย่างน้อยๆ เป้าหมายของใครหลายคนก็น่าจะเป็นการส่งออก เช่น คนทำธุรกิจเครื่องสำอางก็อยากไปลาว คนทำธุรกิจผลไม้ก็อยากไปจีน เป็นต้น เห็นมั้ยครับว่าธุรกิจส่งออก แม้ยังไม่เคยลงมือศึกษาจริงๆ เราก็รู้สึกสนใจมากมายเป็นพิเศษแล้ว
วันนี้ผมจะมาบอกว่าทำไมธุรกิจส่งออกถึงน่าทำ และทำให้ใครหลายๆ คน (แม้กระทั่งตัวผมเอง) เลิกไม่ได้สักที มันมีเสน่ห์เย้ายวนยังไง ไปดูกันครับ
ทำธุรกิจส่งออก มีลูกค้าเยอะกว่า
ประเทศไทยมีประชากรเกือบๆ 70 ล้านคน แต่ทั่วโลกมีประชากรทั้งหมดเกือบๆ 7,000 ล้านคน แปลว่าไทยมีตลาดแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วโลกเลยนะครับ การที่เราแข่งขันกันอย่างดุเดือดในประเทศนั้น มันแค่ 1 เปอร์เซ็นต์จริงๆ และก็ทำให้เราต้องปวดหัวกับการตัดราคา เจอคู่แข่งเลียนแบบ หรือขายของเหมือนๆ กัน ตลาดซ้ำๆ กัน เป็นต้น
มองออกไปข้างนอกประเทศ การทำธุรกิจส่งออกอาจจะทำให้ได้กำไรเยอะกว่า รวยเร็วกว่าได้
เรื่องนี้ขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำไร ถ้าถามว่ากำไรเยอะกว่ามั้ย อัตรากำไรจะน้อยกว่าขายในประเทศ แต่จำนวนชิ้นงาน หรือวอลุ่มนั้นเยอะกว่า ซึ่งทำให้มีจำนวนเงินกำไรโดยรวมเยอะกว่า และก็เป็นปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสรวยกว่านั่นเอง
ธุรกิจส่งออกทำได้หลากหลายกว่า
ผมเชื่อเหลือเกินว่าในตอนเริ่มต้น ทุกคนอยากจะนำสินค้าตัวเองไม่ว่าจะผลิตเอง หรือทำแบรนด์เอง เอาไปขายส่งออกที่ต่างประเทศ แล้วก็ภูมิใจมากๆ กับสิ่งนี้ แต่สิ่งที่ผมเจอกับตัวเองคือ หากเราได้รู้จักตลาดต่างประเทศบางที่อย่างจริงจังแล้ว เราจะเห็นโอกาสมากกว่าหนึ่งสินค้า และเราก็คงหยุดไม่ได้ที่จะหาเงินจากการขายสินค้าเหล่านั้นด้วย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ส่งออกหลายๆ คน แม้จะเคยทำแบรนด์ตัวเอง แต่ก็ผันตัวมาเป็นคนกลาง เทรดเดอร์ ซื้อมาขายไป ก็เพราะโอกาสมันอยู่ตรงหน้าไงครับ ดังนั้นเมื่อเราทำส่งออก เราอาจจะไม่ได้เจอโอกาสแค่สินค้าเราอย่างเดียวก็ได้นะครับ
ธุรกิจส่งออกทำให้เรามองโลกกว้างไกลกว่า
การทำส่งออกทำให้เรามองโลกได้ไกลขึ้น เพราะแผนการพัฒนาสินค้าหรือธุรกิจเรา จะไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายในประเทศไทยเท่านั้น เราต้องมองในมุมลูกค้าต่างประเทศด้วย
เหมือนกับว่า ถ้าเราเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เราจะไม่อยากกลับไปเรียนมัธยมอีก เพราะเรารู้มากกว่านั้นแล้ว การทำส่งออกก็เหมือนกัน หากเราทำสินค้าได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ส่งออกได้ เราจะไม่ต้องไปทำสินค้าที่มีคุณภาพระดับท้องถิ่นอีกต่อไป ซึ่งนี่จะกลายเป็นจุดแข็งในการทำธุรกิจ เพราะสินค้าเราจะก้าวหน้ากว่าคู่แข่งไปเยอะมากนั่นเอง
การทำส่งออกทำให้ธุรกิจเราลดความเสี่ยงได้
สถานการณ์ปัจจุบัน เศรษฐกิจในไทยอาจจะไม่ดีนักในสายตาของบางคน และสถานการณ์ต่างประเทศที่เราเห็นๆ ว่าประเทศใหญ่ๆ หลายที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งถูกเหมารวมว่าเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นถดถอยนั่นเอง
ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ปัจจุบันนี้แม้จะบอกว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่จริงๆ แล้ว มีบางประเทศกำลังมีเศรษฐกิจที่เติบโตและเฟื่องฟูอยู่ และหากเราสามารถเข้าไปเติบโตในประเทศเหล่านั้นได้ เราเข้าไปเกาะขบวนรถไฟทัน ก็อาจจะทำให้เราพลิกชีวิตได้เช่นกันนะครับ
ธุรกิจส่งออก เริ่มต้นด้วยเงินน้อยกว่า
สุดท้ายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ที่ผมเริ่มต้นทำธุรกิจส่งออกก่อนทำในประเทศซะอีก คือเรื่องเงินทุนครับ
หากเรารู้ว่าเริ่มต้นธุรกิจเรามีเงินทุนน้อย เราต้องเริ่มจากธุรกิจที่ใช้เงินสดในการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นการขายอาหาร การให้บริการ หรือแม้กระทั่งการส่งออก
เราอาจจะคิดว่าการขายส่งออกต้องมีการให้เครดิตลูกค้ามั้ย ตอบได้เลยว่ามีครับ แต่ก็มีอีกหลายๆ ประเทศ ที่นิยมการซื้อขายกันแบบเงินสดมากกว่า คือเงินมาของไป หรือจ่ายล่วงหน้าด้วยซ้ำ หรือหากสุดท้ายแล้วเรายังต้องขายสินค้าแบบให้เครดิต เราก็ยังมีธนาคารคอยช่วยให้เงินกู้เหล่านี้ เช่น สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Packing Credit) เป็นต้น
นี่คือเสน่ห์ของการส่งออกเลยครับ ถ้าผมต้องเริ่มต้นจากการขายสินค้าในประเทศ และต้องรออีก 60 วันกว่าจะได้เงิน สายป่านเราคงไม่ยาวพอที่จะทำธุรกิจต่อไปได้ครับ
เห็นมั้ยครับว่าการทำธุรกิจส่งออกนั้นมีข้อดีมากมาย และมีเสน่ห์ดึงดูดให้เราอยากทำมากแค่ไหน ธุรกิจที่ขายของแล้วมีลูกค้าเยอะ รับเงินสด มีธนาคารช่วยเหลืออีก แต่มันติดแค่ว่าเรายังไม่ได้เปิดสมองเราไปสู่ต่างประเทศนั่นเองครับ
การจะเริ่มต้นธุรกิจส่งออกนั้น หากอาศัยการศึกษาหาความรู้จากผู้มีประสบการณ์มาก่อน จะทำให้เราเริ่มต้นได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงลงได้มหาศาล หากท่านสนใจเรียนเริ่มต้นธุรกิจส่งออก สามารถติดต่อเราได้ที่นี่
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการส่งออกครับ